ทุกคนคงรู้จักการร้อยไหมแล้วว่าคืออะไร อันตรายหรือไม่ มีข้อมูลอัพเดตอย่างไรบ้างในปี 2567 หากยังไม่ทราบข้อมูลของการร้อยไหม สามารถอ่านได้ที่บทความนี้เลย รวมมาให้แล้ว ร้อยไหม คืออะไร อันตรายไหม อัพเดตล่าสุดฉบับปี 2567 และสำหรับใครที่ต้องการทราบข้อมูลของการร้อยไหมอย่างละเอียดเช่น ร้อยไหมมีกี่แบบ ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด วันนี้ Drema Clinic จะพามารู้จักข้อมูลไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้ค่ะ
ร้อยไหมในปัจจุบันมีกี่ชนิด
ร้อยไหมในปัจจุบันนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. ร้อยไหมละลาย
ไหมละลายเป็นไหมที่ร่างกายจะสามารถดูดซับและย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติภายในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน – 2 ปี ค่ะ โดยปกติไหมละลายมักใช้สำหรับการร้อยไหมเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอยและปรับการรูปหน้า ข้อดีของไหมละลายคือ ไม่ต้องกังวลเรื่องการดึงไหมออก และมีความปลอดภัยสูง แต่ผลลัพธ์อาจจะอยู่ได้ไม่นานเท่าไหมไม่ละลายค่ะ
2. ร้อยไหมไม่ละลาย
ไหมไม่ละลายเป็นไหมที่ร่างกายไม่สามารถดูดซับหรือย่อยสลายได้เอง ซึ่งไหมชนิดนี้มักใช้สำหรับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้าในระยะเวลานาน ๆ ผลลัพธ์ของไหมไม่ละลายจะอยู่ได้นานกว่าไหมละลาย แต่จำเป็นต้องดึงไหมออกเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ข้อเสียของไหมไม่ละลายคือ มีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น การอักเสบ การติดเชื้อ หรืออาจเกิดรอยแผลเป็นได้ค่ะ
ไหมที่ใช้ร้อยไหมทำมาจากอะไรบ้าง
ไหมที่ใช้ร้อยไหมนั้นทำมาจากวัสดุหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนี้
1. ไหมละลาย
- PDO: PDO (Polydioxanone) : ไหม PDO เป็นไหมละลายที่นิยมใช้มากที่สุด มีราคาค่อนข้างถูก ปลอดภัย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี สามารถสลายเองใน 6 – 8 เดือนค่ะ
- PCL: PCL (Polycaprolactone) : ไหม PCL เป็นไหมละลายที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้า ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานกว่าไหม PDO สามารถสลายเองใน 12 – 18 เดือนค่ะ
- PLLA: PLLA (Poly-L-lactic acid) : ไหม PLLA เป็นไหมละลายที่มีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับการร้อยไหมเพื่อลดริ้วรอย และปรับรูปหน้า แต่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าไหมชนิดอื่น ๆ ทำให้อาจเกิดการทะลุหรือไหมขาดได้ค่ะ
2. ไหมไม่ละลาย
- ไหมทองคำ: ไหมทองคำเป็นไหมไม่ละลายที่มีราคาแพงที่สุด แต่มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดการอักเสบ และช่วยให้ผิวกระจ่างใส อย่างไรก็ตามไหมชนิดนี้มีข้อเสียค่อนข้างมาก เช่น รูปทรงบิดเบี้ยวจากการโดนความร้อนนาน ๆ หรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ง่าย ทำให้ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันแล้วค่ะ
- ไหม Polypropylene: ไหม Polypropylene เป็นไหมไม่ละลายที่มีความแข็งแรงสูง เหมาะสำหรับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้า ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานหลายปี แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเช่นกันค่ะเนื่องจากมักพบการอักเสบของปมไหมนั่นเอง
รูปแบบของไหมที่ใช้ (Thread lift) และการเลือกใช้เส้นไหม
หลังจากที่ทราบเรื่องของรูปแบบการร้อยไหมแล้ว หทอจะพามาเจาะลึกกันว่ารูปแบบของเส้นไหมที่นำมาร้อยไหมนั้นมีกี่แบบกันแน่และชื่อเรียกของแต่ละลักษณะคืออะไร
1. Mono threads หรือไหมแบบเรียบ
ไหมแบบเรียบ ชื่อของไหมชนิดนี้มาจากความเรียบของผิวเส้นไหมที่ไม่ได้มีการผลิตออกมาให้มีรอยบากหรือเงี่ยงต่าง ๆ แบ่งได้เป็น 2 ชนิดย่อย ๆ คือ
1.1 ไหมเรียบตรง
ไหมเรียบตรงช่วยในเรื่องของการกระตุ้มหารสร้างคอลลาเจนแก่ผิวหน้า ทำให้ผิวดูอิ่มมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องของหลุมสิวให้ตื้นขึ้น แต่ไม่ได้มีคุณสมบัติเอาไว้ยกกระชับหน้าแต่อย่างใด
1.2 ไหมเรียบเกลียว (ไหมเกลียว)
ไหมเรียบเกลียว จะมีรูปร่างที่คล้ายไหมเรียบตรงเพียงแต่จะมีลักษณะเกลียวแบบ Screw ช่วยในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนในผิวหนัง เพิ่มน้ำหนักของผิวให้ดูอิ่มเนียนมากขึ้น
2. Barbed threads หรือไหมแบบเงี่ยง
ไหมแบบเงี่ยง เป็นไหมที่มีลักษณะเงี่ยงออกมาจากเส้นแตกต่างจากไหมเรียบโดยสิ้นเชิง แต่เนื่องด้วยลักษณะของเส้นไหมทำให้ไหมเงี่ยงมีคุณสมบัติในการยกกระชับผิวหน้าได้ดีเยี่ยม ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวหนังที่ไม่เต่งตึงหรือหย่อนคล้ายเพราะตัวเงี่ยงจะสามารถเกาะอยู่ที่ผิวหน้าได้ดีกว่าแบบไหมเรียบ โดยปกติแล้วไหมแบบเงี่ยงจะมีการผลิตออกมาด้วยกันทั้งหมด 2 รูปแบบคือ
2.1 ไหมแบบเงี่ยงที่เกิดจากการบาก (เงี่ยงบาก)
ไหมแบบเงี่ยงที่เกิดจากการบาก หรือ ไหมเงี่ยงบากนั้นผลิตขึ้นมาโดยการบากเส้นของไหมให้มีลักษณะเป็นเงี่ยงเล็กๆ ซึ่งสามารถทำได้ 3 แบบ คือ
- บากไปทางเดียวกันเช่นบากไปด้านซ้ายด้านเดียว เรียกว่า Uni-direction
- บากสวนทางกันทำให้มีเงี่ยงไปทั้งด้านซ้ายและด้านขวา เรียกว่า Bi-direction
- บากแบบ Uni-direction หรือ Bi-direction ก็ได้แต่จะมีลักษณะของเงี่ยงวนรอบเส้นไหมทั้งเส้น เรียกว่า 3D Cog
2.2 ไหมแบบเงี่ยงที่เกิดจากการหล่อ (เงี่ยงหล่อ)
ไหมแบบเงี่ยงที่เกิดจากการหล่อ หรือ ไหมเงี่ยงหล่อนั้นจะถูกหล่อตัวเงี่ยงขึ้นมาพร้อมกับการผลิตตัวเส้นไหมทำให้เงี่ยงที่เกิดจากการหล่อมีความแข็งแรงมาก เกาะกลับผิวหนังได้แน่นมาก มีทั้งหมด 3 แบบ คือ
- เงี่ยงหล่อแบบสามเหลี่ยมบานออกไปคล้ายจรวด เรียกว่า Carving Cog
- เงี่ยงหล่อ เป็นฟันปลาสลับบนล่างไปเรื่อยๆ เรียกว่า Molding Cog
- เงี่ยงหล่อขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายหนามกุหลาบ บางคลินิกอาจเรียกว่า ไหมกุหลาบเป็นการหล่อเงี่ยง 360 องศาขนาดใหญ่ทั่วเส้น เรียกว่า 3D Molding Cog
อย่างไรก็ตามไหมเงี่ยงบากจะมีการเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่าไหมเงี่ยงหล่อหรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไหมเงี่ยงหล่อสามารถเกาะอยู่ในผิวหนังได้ดีกว่า เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทานของเงี่ยงมากกว่านั่นเอง
3. ไหมรูปตาข่าย
ไหมตาข่ายนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างไหมเงี่ยงแบบ 3D Molding Cog ที่ชั้นในและหุ้มด้วยไหมตาข่ายที่ชั้นด้านนอกทำให้เส้นไหมชนิดนี้มีความสามารถในการเกาะผิวที่ดีพร้อมทั้งเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังให้ดูเต่งตึงมีน้ำมีนวลอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย
4. ไหมกรวย
ไหมกรวย เป็นไหมที่มีรูปร่างของเงี่ยงคล้ายกรวยจรวดฐานวงกลมเนื่องด้วยขนาดที่ใหญ่จึงทำให้เกาะผิวหนังได้ดีมากกว่าชนิดอื่น ๆ แต่ก็จำเป็นต้องใช้ความชำนาญการของแพทย์ที่ทำหัตถการในการร้อยไหมเนื่องจากอาจเกิดข้อผิดพลาดได้
รูปแบบไหมที่ดีที่สุดในตอนนี้คือแบบไหน
จากประสบการณ์ของหมอพบว่าการร้อยไหมแบบไหมละลายที่เป็นการร้อยไหมชนิด PCL นั้นดีที่สุด
(ปัจจุบันเส้นไหม PCL มีการผสมผสาน PLLA เข้าไปด้วยทำให้ได้เส้นไหมที่มีค่า Tensile Elongation % ที่ดีที่สุดในตอนนี้) ซึ่งรูปแบบของเส้นไหมที่ใช้ควรมีลักษณะเป็นเงี่ยงชนิดใดก็ได้ตามวัตถุประสงค์ของคนไข้ที่ต้องการร้อยไหม หมอคะเนไว้ว่าเส้นไหมละลายจะอยู่ได้นานมากถึง 16-20 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหรือโครงสร้างของผิวคนไข้แต่ละบุคคลด้วย
สรุปเรื่องร้อยไหมมีกี่แบบ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับข้อมูลของเรื่องร้อยไหมมีกี่แบบและร้อยไหมแบบไหนดีที่สุดที่หมอรวบรวมข้อมูลและนำมาฝากทุกคนในวันนี้ เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย การร้อยไหมเป็นหนึ่งในหัตถการที่ต้องใช้ประสบการณ์ค่อนข้างมากเลยทีเดียว หากต้องการร้อยไหมแต่ยังไม่ทราบว่าจะปรึกษาหรือสอบถามที่ไหนดี สามารถติดต่อมาได้ที่ Drema Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ ประสบการณ์ด้านคลินิกความงามมากกว่า 7 ปี และยังได้รับรางวัลการันตี Gold Award Facial Aesthetic รวมถึง Top facial Contouring and skin quality 2024 อีกด้วยค่ะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- Tel: 080-992-6964
- Line: @dremaclinic
- Facebook: Drema Clinic Aesthetics & Laser
- Email: dremahouse.clinic@gmail.com