ร้อยไหม กลายเป็นหนึ่งในเทคนิคความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด และพักฟื้นน้อย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย และต้องการยกกระชับใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า ร้อยไหมคืออะไร ทำงานอย่างไร ปลอดภัยไหม? บทความนี้ Drema Clinic จะมาไขข้อข้องใจเหล่านี้ และนำเสนอข้อมูลอัพเดตล่าสุดเกี่ยวกับการร้อยไหมในปี 2567 กัน
ร้อยไหมคืออะไร
ร้อยไหม ถือเป็นเทคนิคการยกกระชับใบหน้าโดยใช้ไหมละลายชนิดพิเศษ ที่นำมาสอดใต้ชั้นผิวหนังเพื่อดึงผิวให้เต่งตึง กระชับ ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึก และปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น โดยไหมที่ใช้จะละลายสลายไปเองตามธรรมชาติภายใน 6-12 เดือนโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ระยะเวลาขึ้นอยู่แล้วแต่บุคคล
ร้อยไหมมีวิธีการทำอย่างไร
หากวันนี้คุณเข้ามาทำการร้อยไหมที่ Drema Clinic แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการทายาชาบริเวณจุดที่ต้องการร้อยไหมเช่น แก้ม หน้าผาก คาง เป็นต้น จากนั้นใช้เข็มขนาดเล็กสอดไหมละลายเข้าใต้ชั้นผิวหนังหรือที่เรียกว่าชั้น Superficial Musculo Aponeurotic system โดยแพทย์จะเลือกเทคนิคการร้อยไหมที่เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้แต่ละราย ดังนั้นการร้อยไหมจำเป็นต้องเข้ารับการปรึกษาและวางแผนการรักษากับคุณหมอเป็นรายบุคคล ซึ่งคุณหมอจะใช้เทคนิคที่แตกต่างกันออกไปเช่น
- ร้อยไหมแนวตรง: วิธีนี้ก็จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการยกกระชับผิว แก้ไขริ้วรอย ร่องลึก
- ร้อยไหมแบบตาข่าย: วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าโดยรวม ปรับรูปหน้าให้เรียวดูเป็นธรรมชาติ
- ร้อยไหมแบบก้างปลา: เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวบริเวณโหนกแก้ม ร่องลึกใต้ตา
ร้อยไหมมีกี่ชนิด
การร้อยไหมนั้น นอกจากจะใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการทำหัตถการแล้ว ร้อยไหมจำเป็นจะต้องมีการใช้ไหมที่มีคุณภาพและมาตราฐานโดยชนิดของไหมที่ใช้ร้อยไหมก็จะมีทั้งหมดด้วยกัน 3 ชนิดคือ
1. ร้อยไหม PDO (Polydioxanone)
ร้อยไหม PDO เป็นไหมชนิดที่นิยมใช้มากที่สุดเนื่องจากมีมาตราฐานเดียวกันกับการผ่าตัดหัวใจ ผ่านอย. ลักษณะจะเป็นเส้น ๆ มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการร้อยไหมทุกแบบและสามารถละลายสลายเองได้ภายใน 6-8 เดือน หากคุณหมอทำอย่างถูกต้องจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินและที่สำคัญเหมาะกับผิวทุกประเภท
2. ร้อยไหม PCL (Polycaprolactone)
ร้อยไหม PCL เป็นชนิดที่มีความยืดหยุ่นและความละเอียดสูงที่สุดในปัจจุบัน เส้นใหญ่ที่สุดแต่สามารถละลายสลายภายใน 12-18 เดือน เหมาะกับการร้อยไหมแบบตาข่าย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เหมาะกับคนที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก
3. ร้อยไหม PLLA (Poly L-Lactic Acid)
ร้อยไหม PLLA เป็นชนิดที่ความยืดหยุ่นค่อนข้างน้อย หากทำการร้อยไหมไปแล้วอาจมีผลข้างเคียงตามมาได้ค่อนข้างมาก ไหมชนิดนี้ละลายสลายภายใน 12-24 เดือน เหมาะกับการร้อยไหมแบบตาข่าย ร้อยไหมชนิดนี้เหมาะกับคนที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน แต่ต้องทำการปรึกษาและวางแผนการรักษากับคุณหมออีกครั้งเนื่องจากวิธีนี้เสี่ยงไหมขาดหรือไม่ทะลุได้จากคุณลักษณะของตัวไหมเอง
รูปแบบไหมละลายที่ใช้มีกี่ชนิด
ไหมละลายที่ใช้นั้นมีหลายรูปแบบมากขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต หากต้องการรู้เรื่องของการร้อยไหมเพิ่มเติมว่าร้อยไหมมีกี่แบบ ใช้เข็มแบบหไหนบ้าง สามารถกดดูได้ที่นี่เลย เอาให้ชัดร้อยไหมมีกี่แบบ แตกต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน แต่วันนี้หมอขอยกตัวอย่างรูปแบบไหมที่นิยมใช้หรือเป็นที่รู้จักมาให้ดูกัน
1. Mono threads
Mono threads หรือไหมเรียบ ไม่มีเงี่ยง เป็นรูปแบบไหมที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความหย่อนคล้อยของผิวหนังแต่ไหมไม่มีเงี่ยงจะไม่ได้ช่วยในเรื่องการยกกระชับผิวหน้า เหมาะกับการร้อยไหมในบริเวณที่มีความตึงผิวอยู่มากเช่น คอ หน้าผากหรือใต้ตา เป็นต้น
2. Cog threads
Cog threads หรือไหมมีเงี่ยงเป็นไหมเรียบที่ถูกตัดแต่งให้มีลักษณะในรูปแบบเงี่ยงปลาซึ่งจะตัดได้สองแบบคือเงี่ยงแบบเล็กและเงี่ยงแบบใหญ่เหมาะกับการยกกระชับหน้าให้สวยเป็นรูปร่างตัววีมากขึ้น ทั้งนี้การใช้เงี่ยงแบบใดก็จะขึ้นอยู่กับการวางแผนการรักษารายบุคคล
3. Screw threads
Screw threads หรือไหมมีเกลียว เหมาะกับการร้อยไหมแบบก้างปลา ยกกระชับผิวบริเวณโหนกแก้ม ร่องลึกใต้ตา
4. Molding threads
Molding threads หรือไหมหล่อ คือไหมที่มีการหล่อตัวเงี่ยงขึ้นมากับตัวข้องเส้นไหม จึงทำยกกระชับผิวหน้าได้ดี มีความแข็งแรงค่อนข้างมาก สามารถเก็บกรอบหน้าและปรับกระชับโครงหน้าได้ดี
ใครที่ควรทำร้อยไหม
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย ร่องลึก
- ผู้ที่มีปัญหาแก้มหย่อน คางหย่อน
- ผู้ที่มีรูปหน้าไม่หย่อนคล้อยแต่ก็ไม่เรียวเป็นรูปทรงที่ต้องการ
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
ใครที่ไม่ควรทำร้อยไหม
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเลือด
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีผิวอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณที่จะร้อยไหม
ร้อยไหมเจ็บไหม
โดยทั่วไปแล้ว ร้อยไหมจะไม่เจ็บมาก เพราะก่อนทำจะมีการทายาชาบริเวณที่จะร้อยไหม แต่บางคนอาจรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ หรือรู้สึกตึงๆ บ้าง ขึ้นอยู่กับความไวต่อความเจ็บของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเลือกเทคนิคการร้อยไหมและยาชาที่เหมาะสม เพื่อลดความเจ็บปวดให้กับคนไข้มากที่สุด
การดูแลตนเองก่อน-หลัง ร้อยไหม ต้องทำอย่างไร
ก่อนทำร้อยไหม
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดทานยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาแก้ปวดบางชนิด
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่ทาน และประวัติการแพ้ยา
- ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หลังทำร้อยไหม
- ประคบเย็นบริเวณที่ร้อยไหมเพื่อลดอาการบวมแดง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูบริเวณที่ร้อยไหม
- งดออกกำลังกายหนักๆ และกิจกรรมที่ต้องใช้เหงื่อมาก 1-2 สัปดาห์
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 2 สัปดาห์
- ทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ ทาครีมกันแดด SPF 50 ขึ้นไป
ผลข้างเคียง
- การร้อยไหมโดยทั่วไปมีผลข้างเคียงที่น้อยมาก เช่น อาการบวมแดง รอยเขียวช้ำ อาการชา ซึ่งมักจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ในบางรายอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่า เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ หรือไหมที่ร้อยไว้เคลื่อน ซึ่งต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีที่เกิดอาการดังกล่าว
ต้องการร้อยไหม ที่ Drema Clinic ทำอย่างไร
เห็นได้ชัดว่าร้อยไหมเป็นหัตถการที่มีความละเอียดและต้องเป็นแพทย์ที่มีความชำนาญการและเข้าใจในการร้อยไหมจึงจะสามารถทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีและน่าพึงพอใจได้ และหากคนไข้ต้องการร้อยไหมแต่ยังไม่ทราบว่าจะปรึกษาหรือสอบถามที่ไหนดี สามารถติดต่อมาได้ที่ Drema Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ ประสบการณ์ด้านคลินิกความงามมากกว่า 7 ปี และยังได้รับรางวัลการันตี Gold Award Facial Aesthetic รวมถึง Top facial Contouring and skin quality 2024 อีกด้วยค่ะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- Tel: 080-992-6964
- Line: @dremaclinic
- Facebook: Drema Clinic Aesthetics & Laser
- Email: dremahouse.clinic@gmail.com