ใต้ตาดำคล้ำ ตาลึก ตาโหล ถุงใต้ตา และริ้วรอยใต้ตา เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส และดูแก่กว่าวัยได้ นอกจากนี้เวลาแต่งหน้ายังต้องพยายามหาคอนซีลเลอร์มาปกปิดจนรู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แน่นอนว่าในบทความนี้ Drema Clinic ก็ไม่พลาดที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาแนะนำกัน แล้วการฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? เหมาะกับใคร? ไปหาคำตอบได้ในบทความนี้
ปัญหารอบดวงตาเกิดจากสาเหตุอะไร?
ปัญหาใต้ตาดำคล้ำ ร่องใต้ตาลึก หรือถุงใต้ตา มีสาเหตุหลัก ๆ จากการสูญเสียคอลลาเจนใต้ผิวหนังรอบดวงตา ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอายุที่เพิ่มมากขึ้น กรรมพันธุ์ ภูมิแพ้ การใช้สายตาอย่างหนัก และพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ทำร้ายผิวหนังรอบดวงตา เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ การร้องไห้ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ อาการแพ้สารต่าง ๆ เป็นต้น จนทำให้กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาเกิดการหย่อนคล้อย และเกิดปัญหารอบดวงตาเหล่านี้ขึ้นมา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือการฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เข้าไปบริเวณใต้ตาในจุดที่มีปัญหาเพื่อเติมเต็มผิวหนังบริเวณนั้นให้ดูเต็มขึ้น และแก้ไขปัญหาริ้วรอยใต้ตา ถุงใต้ตา ใต้ตาลึก ไปจนถึงปัญหาใต้ตาคล้ำ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานับว่าเป็นหัตถการที่สามารถแก้ไขปัญหารอบดวงตาได้อย่างปลอดภัย เพราะเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว และสามารถสลายไปได้เอง 100%
ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถแก้ไขปัญหารอบดวงตาได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
- แก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา รอยตีนกา ที่มีลักษณะเป็นรอยเหี่ยวย่นใต้ตา และรอบ ๆ ดวงตา ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ มักพบในคนที่มีอายุมาก แต่ก็สามารถพบได้ในคนที่มีอายุน้อยเช่นกัน โดยมักจะเกิดจากการแสดงสีหน้าที่มากเกินไป
- แก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำ ที่เกิดจากเส้นเลือดและสีของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะในคนที่มีผิวใต้ตาค่อนข้างบาง การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยบังสีของกล้ามเนื้อ ทำให้รอยคล้ำดูจางลง
- แก้ปัญหาถุงใต้ตาหย่อนคล้อย มีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงไม่สามารถแก้ไขด้วยการใช้สกินแคร์ได้ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มผิวบริเวณรอบดวงตาให้ดูเต่งตึงขึ้นได้
- แก้ปัญหาร่องลึกใต้ตา เบ้าตาลึก ตาโหล จากการสูญเสียคอลลาเจน หรือไขมันรอบดวงตาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มช่องว่างใต้ชั้นผิว ทำให้เบ้าตาดูตื้นขึ้น ร่องใต้ตาดูจางลง
ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่มีความซับซ้อนและต้องใช้แพทย์ที่มีความชำนาญอย่างมาก เพราะบริเวณรอบดวงตามีเส้นเลือดใหญ่ที่สำคัญหลายเส้น หากฉีดพลาดก็อาจจะทำให้ตาบอดได้ แต่หากเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน โดยแพทย์ที่มีความชำนาญและเลือกใช้แต่ฟิลเลอร์ของแท้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาก็จะไม่มีความอันตรายใด ๆ เพราะเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายและสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ 100%
ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?
ผู้ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาร่องลึกใต้ตา ตาโหล เบ้าตาลึก ใต้ตาดำ ถุงใต้ตา
- ผู้ที่ต้องการดูแลรอบดวงตาให้สดใส ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
- ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหารอบดวงตาโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหารอบดวงตาจากพันธุกรรมและภูมิแพ้
- ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น
- ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่มีปัญหาผิวใต้ตาหย่อนคล้อย
ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีดังนี้
- ผู้ที่มีภาวะตาแห้งรุนแรง จำเป็นจะต้องหยอดน้ำตาเทียมเพื่อให้อาการดีขึ้นก่อน จึงจะสามารถฉีดฟิลเลอร์ได้
- ผู้ที่กำลังใช้ยา วิตามิน หรือสมุนไพรบางชนิด เช่น วิตามินอี กระเทียม ขิง แปะก๊วย เป็นต้น
- ผู้ที่เป็นโรคและรับประทานยาที่มีผลกับการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยาลดการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- ผู้ที่เป็นโรคเริมหรืองูสวัด
- ผู้ที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณผิวหนังรอบดวงตาและบริเวณใกล้เคียง
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา เกิดแผลคีลอยด์ง่าย
- ผู้ที่มีอาการแพ้ Hyaluronic Acid
- ผู้ที่มีใต้ตาหย่อนคล้อยมาก หรือมีถุงใต้ตาใหญ่มากจนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์
- ผู้ที่มีถุงใต้ตาเทียมที่เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การอดนอน การขยี้ตาบ่อย การร้องไห้บ่อย เป็นต้น เพราะสามารถหายได้เอง
ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การทราบข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยให้คุณสามารถพิจารณาได้ว่า การแก้ปัญหารอบดวงตาด้วยการฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่เหมาะกับตัวคุณหรือไม่ โดยข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีดังนี้
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- สามารถแก้ไขปัญหารอบดวงตาได้อยากหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ลดเลือนริ้วรอยใต้ตา เติมเต็มร่องลึกใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาดำคล้ำ ลดถุงใต้ตา
- เป็นหัตถการที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลทันทีหลังฉีด
- เป็นวิธีรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
- นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหารอบดวงตาได้แล้ว ยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และทำให้ผิวเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
- เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ เพราะ Hyaluronic Acid เป็นสารที่พบได้ในร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ยังสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ 100%
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์จะไม่คงอยู่ถาวร โดยจะอยู่ได้ประมาณ 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ และการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์จะสลายง่าย เมื่ออายุมากขึ้นและมีสภาพผิวที่หย่อนคล้อย ทำให้ต้องมาฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์เอาไว้
- หากฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน ตาบอด หน้าเบี้ยว เป็นต้น
ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี?
สำหรับยี่ห้อที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีทั้งหมด 5 ยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีรุ่นที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ดังนี้
1. ฟิลเลอร์ Juvederm
ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกาที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน และผ่านการรับรองมาตรฐานจาก USFDA และ อย.ไทย โดยจุดเด่นของฟิลเลอร์ Juvederm คือ มีเนื้อฟิลเลอร์ละเอียด มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยยกกระชับผิวได้ดี และไม่แข็งเป็นก้อน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บขณะฉีดฟิลเลอร์ได้ โดยรุ่นที่เหมาะกับการฉีดเพื่อแก้ปัญหารอบดวงตามีดังนี้
- Juvederm Voluma มีเนื้อแข็งและฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการฉีดบริเวณใต้ตา ร่องแก้ม คาง และขมับ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Juvederm Volift มีเนื้อนิ่ม และละเอียด เหมาะกับคนที่มีผิวบาง ใช้ในการฉีดร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก หรือเก็บรายละเอียดร่องแก้มชั้นตื้น ปาก มุมปาก และระหว่างคิ้ว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Volite มีเนื้อละเอียด ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เหมาะกับการฉีดในผิวชั้นตื้น เก็บรายละเอียดริ้วรอยเล็ก ๆ และฉีดบริเวณใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
- Juvederm Volux มีเนื้อแข็ง ยืดหยุ่นสูง และคงรูปได้ดีที่สุด เหมาะกับการฉีดบริเวณคาง ใต้ตา ขมับ และร่องแก้มชั้นลึก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
2. ฟิลเลอร์ Restylane
ฟิลเลอร์ Restylane เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดน ที่โดดเด่นด้วย 2 เทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะอย่าง NASHA Technology และ OBT Technology ที่ทำให้สามารถผลิตฟิลเลอร์ได้หลากหลายขนาดโมเลกุล ทำให้สามารถเลือกใช้ในการแก้ปัญหาผิวหน้าแต่ละจุดได้อย่างเหมาะสม โดยรุ่นที่เหมาะกับการฉีดเพื่อแก้ปัญหารอบดวงตามีดังนี้
- Restylane Perlane Lyft เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา มีเนื้อแข็ง ไม่ฟู และมีความคงตัวสูง สามารถคงรูปได้ดีที่สุด เหมาะกับการฉีดบริเวณใต้ตา จมูก คาง และแก้มส้ม ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Defyne เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา มีเนื้อนิ่มปานกลาง และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการฉีดบริเวณขมับ หน้าแก้ม คาง และริมฝีปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Vital Light เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา มีอนุภาคเล็ก เนื้อละเอียด และมีความนิ่ม เหมาะกับการฉีดบริเวณร่องลึกใต้ตา ริมฝีปาก และผิวชั้นตื้น หรือฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูความกระจ่างใส ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- Restylane Volyme เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา มีเนื้อนิ่ม มีความฟู เหมาะกับการฉีดเพื่อเติมเต็มริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณร่องแก้ม และร่องน้ำหมาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Classic เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา เนื้อเจลมีอนุภาคใหญ่ และมีเนื้อค่อนข้างแข็ง เหมาะกับการฉีดเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก เช่น ร่องแก้ม ร่องรอยขมวดคิ้ว ใต้ตา และปาก เป็นต้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
- Restylane Vital เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการฉีดบริเวณหน้าผาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดือน
3. ฟิลเลอร์ Belotero
ฟิลเลอร์ Belotero หรือ Colorful Filler เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีเนื้อเจลเรียบเนียน สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกสภาพผิว โดยมีคุณสมบัติที่โดดเด่นอยู่ 3 ข้อ ได้แก่ ความยืดหยุ่นของเนื้อเจล, ความยึดเกาะเป็นเนื้อเดียว ไม่ไหลเป็นก้อน และการปั้นทรงที่ดี ซึ่งฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้สามารถแบ่งรุ่นได้ตามสีสันของกล่อง มีทั้งหมด 5 รุ่น ดังนี้
- Belotero Volume (กล่องม่วง) มีเนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง เหมาะกับการฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก และการฉีดปากทรงสายฝอ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Belotero Soft (กล่องเหลือง) มีเนื้อละเอียด โมเลกุลเล็ก เหมาะกับการฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ แก้ไขริ้วรอยบนผิวชั้นนอก และปัญหาใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
4. ฟิลเลอร์ Teoxane
ฟิลเลอร์ Teoxane เป็นฟิลเลอร์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับการยอมรับในวงการความงามทั่วโลก รวมถึงเมืองไทยมีจุดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยี Resilient Hyaluronic Acid (RHA) ที่ช่วยให้ฟิลเลอร์สามารถยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหวของใบหน้าได้ดี ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและไม่เกิดการเป็นก้อนหลังฉีด และยังอิ่มฟูอีกด้วย
- RHA 2 สำหรับแก้ไขริ้วรอยตื้น และเติมเต็มปริมาตรใบหน้า มีความนิ่ม ความเข้มข้นของ HA อยู่ที่ 23 mg/ml มีผลลัพธ์นาน 12-18 เดือน
- RHA 1 สำหรับแก้ไขริ้วรอยตื้น เติมเต็มใต้ตา และเติมเต็มปริมาตรใบหน้า มีความนิ่ม ความเข้มข้นของ HA อยู่ที่ 15 mg/ml มีผลลัพธ์นาน 12 เดือน
- Redensity 2 ใช้สำหรับแก้ไขโครงสร้างใต้ตาชั้นลึก มีความเข้มข้นของ HA 15 mg/ml อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
5. ฟิลเลอร์ Definisse
ฟิลเลอร์ Definisse เป็นฟิลเลอร์ที่มาจากอิตาลี ที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่เรียกว่า XTR™ Technology ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการสามขั้นตอนที่ช่วยให้เนื้อฟิลเลอร์คงรูปได้ดี ยกกระชับผิว และลดความเสี่ยงต่อการแพ้ ไม่บวม จุดเด่นคือ เนื้อเจลบริสุทธิ์ ไม่แพ้ เนื้อฟิลเลอร์คงทนแต่ฉีดง่ายเนื่องจากหลอดฟิลเลอร์ทำจากแก้วคุณภาพดีทำให้แพทย์ใช้งานได้ง่ายในการดันยา
- Definisse Restore: เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งปานกลาง ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และแก้มตอบ อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือนเหมาะกับร่องลึกระดับกลาง ไม่เหมาะฉีดบริเวณตื้น
- Definisse Touch: เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มที่สุด เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และริมฝีปาก ฉีดบริเวณตื้นได้
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาราคาเท่าไหร่?
ราคาของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะขึ้นอยู่กับปริมาณและยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ ซึ่งที่ Drema Clinic จะมีราคาเริ่มต้น 6,800 สำหรับผู้ที่สนใจเข้าใช้บริการ สามารถสอบถามรายละเอียดและโปรโมชันเพิ่มเติม รวมถึงเข้ามาให้แพทย์ประเมินสภาพผิวที่ Drema Clinic ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- Juvederm Volift 15,000 บาท/ CC
- Juvederm Voluma ราคา 16,000 บาท/CC
- Juvederm Volite ราคา 15,000 บาท/CC
- Juvederm Volux ราคา 15,000 บาท/CC
- Restylane Vital Light ราคา 13,500 บาท/CC
- Restylane Refyne ราคา 14,500 บาท/CC
- Restylane Volyme ราคา 14,500 บาท/CC
- Restylane Perlane Lyft ราคา 15,000 บาท/CC
- Restylane Classic ราคา 15,000 บาท/CC
- Restylane Vital ราคา 15,000 บาท/CC
- Belotero Volume ราคา 9,900 บาท/CC
- Belotero Soft ราคา 9,900 บาท/CC
*ทั้งนี้ ราคาขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละช่วงเวลา
รีวิวการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ Drema Clinic
(ขอภาพรีวิวการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 6-9 ภาพค่ะ)
FAQ: รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
1. ฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ CC?
ปริมาณที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาและโครงสร้างใบหน้าของแต่ละบุคคล ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ประมาณ 1-2 CC ต่อใต้ตาทั้งสองข้าง ทั้งนี้หากคนไข้ต้องการทราบปริมาณฟิลเลอร์ที่ชัดเจน สามารถเข้ามาให้แพทย์ที่ Drema Clinic ประเมินได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
2. ฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล?
สามารถเห็นผลได้ทันที โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดเมื่อฟิลเลอร์เข้าที่และอาการบวมช้ำหายไป หรือภายใน 2-3 สัปดาห์หลังฉีด
3. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม?
เจ็บ แต่เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ โดยก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแพทย์จะทำการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 45-60 นาที ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้มาก แต่หากเจ็บจนทนไม่ไหวสามารถแจ้งให้แพทย์ประคบเย็นได้
4. ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนเกิดจากอะไร?
สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น
- แพทย์ที่ฉีดขาดความเชี่ยวชาญ
- ใช้ปริมาณฟิลเลอร์เยอะเกินไป
- ฉีดฟิลเลอร์ของปลอม
ไม่รู้จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี? รับคำปรึกษาฟรีได้ที่ Drema Clinic
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานับว่าเป็นหัตถการที่สามารถแก้ไขปัญหารอบดวงตาได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ดูเรียบเนียนมากขึ้นได้อีกด้วย ทั้งนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้ารับบริการคนไข้ควรให้ความสำคัญกับการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเลือกใช้แต่ฟิลเลอร์ของแท้เท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ และหากไม่รู้ว่าจะปรึกษาการฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี? ก็สามารถปรึกษา Drema Clinic ได้ตามรายละเอียดช่องทางด้านล่างนี้ได้เลย
- Tel: 080-992-6964
- Line: @dremaclinic
- Email: dremahouse.clinic@gmail.com
- Facebook: Drema Clinic Aesthetics & Laser
- พิกัด: https://maps.app.goo.gl/5fcMQwpMyHodi5Ui8